วิธีใช้เวลาของท่านในการพูดคุย

ท่านรู้สึกอย่างไร เมื่อต้องเสียเวลาคอยการนัดพบกับผู้บังคับบัญชา เพื่ออภิปรายงานบางอย่าง ท่านรู้สึกอย่างไร เมื่อผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชามักมาสายเป็นประจำในการเข้าร่วมประชุม ท่านรู้สึกอย่างไร เมื่อมีบางคนมาเร็วกว่าผู้อื่นเพื่อเข้าประชุมกับท่าน ท่านรู้สึกอย่างไร เมื่อถูกสั่งให้ทำงานล่วงเวลาในวันสุดสัปดาห์ ท่านรู้สึกอย่างไร เมื่อผู้บังคับบัญชาของท่านหยุดการสนทนากับท่านบ่อยครั้ง จนเกือบจะเป็นปกติวิสัย และหันไปให้เวลามากขึ้นกับผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่ง

คำถามทั้งหมดที่กล่าวมาข้างบน เป็นตัวอย่างสาธิตให้เห็นว่า การใช้เวลาของเราอย่างไรนั้น ย่อมสื่อความหมายให้บุคคลทราบว่า เรารู้สึกอย่างไรต่อบุคคลเหล่านั้น – โดยเฉพาะความรู้สึกที่เกี่ยวกับความชอบพอ เกี่ยวกับความสำคัญ และเกี่ยวกับตำแหน่งฐานะ เวลาคือทรัพยากรที่ต่อเนื่อง หายาก และไม่สามารถย้อนกลับมาใหม่ได้ ดังนั้นการที่ท่านจะให้เวลากับใครมากน้อยเพียงไร ในเวลาใด ย่อมเป็นตัวแปรที่สำคัญในการสื่อความรู้สึกของท่านต่อบุคคลอื่น

ศาสตราจารย์แอนโทนี อะโทส (Anthony athos) ได้ระบุคำ ๓ คำ ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่เราใช้บอกความหมายของเวลา ได้แก่ ความเที่ยงตรง ความจำกัด และความซ้ำซ้อน และแม้ว่ากฎที่เกี่ยวกับการใช้เวลา โดยคำนึงถึงตัวแปรทั้ง ๓ ตัวดังกล่าวจะแตกต่างกันบ้าง จากสถานการณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่ง การใช้เวลาของเราเพื่อสื่อความหมาย ก็ยังบอกได้ด้วยเสียงต่าง ๆ กันมากมาย ถ้า “การพูด” เรื่องเวลาสามารถส่งเสียงให้ได้ยินได้

ความเที่ยงตรง

ปัญหาของเราเกี่ยวกับความเที่ยงตรงของเวลาเป็นปัญหาใหญ่ นาฬิกาบอกเวลามักได้รับการโฆษณา ในด้านของความเที่ยงตรงว่า จะทำเวลาเคลื่อนไปเพียงไม่กี่วินาทีในรอบ ๑ ปี และเรามักจะผูกนาฬิกาไว้ติดตัว เพื่อเราจะสามารถทราบได้ถูกต้องว่าขณะนั้น ๆ เป็นเวลาอะไรแน่นอน จะได้รักษาตารางเวลาตามกำหนดได้ และด้วยเหตุที่เราห่วงเรื่องความ เที่ยงตรงของเวลา วิธีการใช้เวลาของเราจึงเป็นสิ่งที่สื่อความหมายอะไรบางอย่างต่อบุคคลอื่น ๆ

ลองหวนคิดถึงการนัดพบคู่ควงครั้งแรกของท่าน ชายจำนวนมากมักจะไปถึงที่นัดพบก่อนเวลานิดหน่อย และขับรถไปรอบ ๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่แสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความกระตือรือร้นของตน อาจจะไม่ใช่สิ่งผิดปกติสำหรับหญิงที่จะต้องคอยสักไม่กี่นาทีในห้องของเธอ หลังจากได้เวลานัดพบแล้ว เพื่อปกปิดความตื่นเต้นของเธอ อย่างไรก็ตามถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาสาย ก็ย่อมจะต้องมีการอธิบายเพื่อลบล้างความคิดที่ว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในลักษณะเดียวกันย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับนักบริหาร ที่จะสรุปว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมาเข้าที่ประชุมสายเสมอ จะเป็นบุคคลที่ไม่เดือดร้อนเอาใจใส่ และผู้บริหารก็อาจจะเกิดความโกรธ เพราะคิดเช่นนั้น ผู้!ต้บังคับบัญชาก็เซ่นกัน มีแนวโน้มที่จะสรุปรวบยอดว่าผู้บริหารที่มาเข้าห้องประชุมสาย มักเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจมากนัก ด้วยเหตุดังกล่าว การตรงต่อเวลาของเราเป็นอย่างไร ย่อมบอกถึงความสนใจ เอาใจใส่งาน ไม่ว่าจะด้านเที่ยงตรงต่อเวลา หรือไม่เที่ยงตรงก็ตาม

เวลายังสามารถใช้เป็นเครื่องบอกว่า เรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับบุคคลอื่น ในด้านของตำแหน่งฐานะและอำนาจที่สืบเนื่องด้วย ถ้าประธานบริษัท เรียกผู้บริหารระดับต้นเข้ามาประชุมในสำนักงานของเธอ ผู้บริหารเหล่านี้ น่าจะมาถึงก่อนเวลานัดหมาย ด้วยเหตุของความแตกต่างในด้านตำแหน่ง นักบริหารส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกว่า ความไม่สะดวกใด ๆ ในการต้องรอคอย ควรจะเป็นของฝ่ายตน เวลาของประธานบริษัท น่าจะเป็นที่ยอมรับว่า มีค่ามากกว่าของระดับตน เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรให้ท่านเสียเวลา ซึ่งตรงข้ามกับเวลาที่มีค่าน้อยกว่าของพวกตน

การใช้เวลายังเป็นเครื่องมือที่จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถ้านักบริหาร ๒ คน ที่มีตำแหน่งเท่ากัน ย่อมมีการแข่งขันกันมาก ฝ่ายหนึ่งอาจจะพยายามจัดเวลาของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อแสดงถึงอำนาจและตำแหน่งที่สูงกว่า สมมุติว่าผู้บริหารคนหนึ่ง เรียกอีกบุคคลหนึ่งและสั่งให้เข้ามาพบประชุมกับตนในห้องทำงานของตนเวลาสาย ๆ ของเช้าวันหนึ่ง ประการแรก ฝ่ายที่เป็นผู้เริ่มต้นแสดงถึงตำแหน่งที่สูงกว่า ประการที่สอง การระบุสถานที่และเวลาเป็นการลดอิทธิพลของอีกฝ่ายหนึ่ง ประการที่สาม การเข้าร่วมประชุมทันทีตามต้องการมีความหมายว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสิ่งที่มีความหมายสำคัญกว่านั้นที่จะทำ ถ้าเขาตกลงด้วย โอกาสเป็นไปได้สูงมากที่ว่า ผู้บริหารคนที่สองจะไม่มาถึงที่ประชุมตรงเวลาตามที่ตกลงกัน เขาอาจจะเป็นคนสายนิดหน่อยและไม่กล่าวขอโทษแต่อย่างใด เท่านี้ก็เพียงพอที่จะยั่วยุผู้ร่วมงานให้เกิดโทษะ แต่ก็ไม่มากพอที่จะเป็นการแสดงการดูหมิ่นอย่างเปิดเผยได้ สาระที่สื่อได้อย่างเงียบ ๆ คือ “บัดนี้ เราต่าง ก็ปราบกันได้ฝ่ายละ ๑ ครั้ง เวลาของฉันมีความหมายเท่ากับเวลาของท่าน หรือหมายความว่าฉันก็มีฐานะเท่า ๆ กับท่านนั่นเอง”

การใช้เวลาเป็นเครื่องจัดการ หรือเป็นวิถีในการครอบครองคนอื่น เป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเราจะไม่ค่อยรู้ตัวนักก็ตาม และไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายจัดผู้อื่นหรือถูกจัด เมื่อใดที่เราปล่อยให้ผู้อื่นจัดเวรของเรา ย่อมสื่อให้ทราบถึงความหมายของตำแหน่งหรืออำนาจที่สูงกว่า เรื่องนี้มีความเป็นจริงมากทีเดียวขณะที่เรากำลังอยากจะทำอะไรอื่นบางอย่าง เวลาเฉพาะส่วนตัว มีความหมายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดังที่ปรากฏให้เห็นในลักษณะความลังเลใจมากขึ้น เมื่อต้องทำงานล่วงเวลาในตอนเย็นหรือในวันสุดสัปดาห์

ยิ่งท่านทำให้คนต้องเสียเวลาคอยนานเท่าไร ยิ่งทำให้เขารู้สึกในทางเลวมากขึ้น จงวาดภาพถึงผู้จัดการระดับกลาง ผู้ซึ่งถูกเรียกให้มาพบกับประธานบริษัทในเวลา ๑๓.๐๐ น. ตรง และได้มาถึงที่นัดพบในเวลา ๑๒.๕๐ น. ด้วยความ “เคารพ” ในคำสั่ง เขาทำใจสบาย ๆ ได้จนถึงเวลา ๑๓.๑๐ น. เขาเริ่มบอกให้เลขานุการไปเตือนท่านประธานว่า เขาได้มาคอยอยู่แล้ว ถ้าเลขานุการได้ตรวจสอบและให้คำบอกเล่าว่า ประธานจะมาพบเขาในทันที ผู้จัดการก็อาจจะยังคงทำจิตใจให้สบายอยู่ได้ จนถึงเวลาประมาณ ๑๓.๒๕ น. อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลา ๑๓.๔๕ น. เขาจะมีทีท่าโกรธมาก และสรุปเอาว่า ผู้เป็นประธานไม่ได้ให้ความสนใจที่จะพบกับเขา ถ้าในขณะนั้นประธานสั่งให้เชิญผู้จัดการเข้าไปพบ และเริ่มดำเนินเรื่องธุรกิจที่เตรียมไว้แล้วโดย มิได้ให้คำอธิบายอะไร ผู้จัดการอาจจะปรากฏและแสดงอารมณ์เสียและโกรธ ซึ่งจะส่งผลทางลบต่อการพบปะกันและความสัมพันธ์ครั้งนั้น ถ้าประธานกล่าวคำขอโทษในการล่าช้าของตน และแลกเปลี่ยนความสนใจ พร้อมกับคำอธิบาย ผู้จัดการก็พร้อมที่จะให้เจ้านายอภิปราย เพราะว่าในที่สุด เวลาของเจ้านายย่อมมีความสำคัญมากกว่า

โดยทั่วไป ยิ่งบุคคลถูกสั่งให้คอยด้วยเวลาที่นานมากเท่าไร ก็ยิ่ง จำเป็นต้องได้รับ “การเคาะเตือนทางบวก” มากขึ้น เพื่อรักษาความเป็นกลางในการเก็บแสตมป์นํ้าตาล การระมัดระวังในกระบวนการนี้ ย่อมสามารถช่วยท่านให้เข้าใจความรู้สึกของท่านดีขึ้น เมื่อท่านอยู่ในฐานะผู้คอย และยังสามารถเพิ่มทักษะของท่านในการเป็นผู้ช่วยผู้อื่นมิให้รู้สึกต่ำต้อยมากนัก เมื่อเขาเหล่านั้นต้องคอยท่านเพราะด้วยเหตุที่ท่านยังต้องมีภาวะติดพันกับบางอย่าง การได้พูดถึงความตั้งใจของเรา และการได้ตรวจสอบข้อสันนิษฐานของเราเกี่ยวกับการใช้เวลา ย่อมสามารถส่งผลต่อการมีสัมพันธภาพในเชิงเพิ่มผลผลิตและได้รับความพอใจ

ความจำกัด

ทั้งเวลาและเงินต่างก็เป็นทรัพยากรที่จำกัดสำหรับพวกเราส่วนมาก เพียงแต่ดูสิ่งของที่เราจับจ่ายใช้สอยก็ย่อมเป็นสิ่งบอกถึงค่านิยมของเรา เราใช้เวลาของเราอยู่กับใครย่อมบอกให้ผู้อื่นทราบถึงความรู้สึกของเราที่มีต่อบุคคลเหล่านั้น เพราะการที่ต้องงดเว้นงานอื่น เมื่อเราเลือกที่จะใช้เวลาของเรากับคนงานบางคน ย่อมเป็นเครื่องหมายแสดงความซาบซึ้งของเรา และสิ่งที่เราคิดว่ามีความหมายสำคัญสำหรับเรา

นักสังคมวิทยาค้นพบว่า ความชอบพอจะเพิ่มมากขึ้น จากการเพิ่มความถี่ในการปฏิสัมพันธ์กัน แม้ว่าท่านอาจจะพอมองเห็นข้อยกเว้นในเรื่องนี้อยู่บ้าง อีกประการหนึ่งคนทั่วไปอาจจะอ่านความหมายของการผละหนีจากการปฏิสัมพันธ์หรือการลดความถี่ของการปฏิสัมพันธ์ว่าเป็นเครื่องบ่งบอกถึงการลดความชอบพอ อย่างไรก็ตามอาจจะมีทางอธิบายเป็นอย่างอื่นที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงได้มากกว่า ดังเช่น มีพันธะผูกพันที่จำเป็นของท่านในกิจกรรมที่มีความสำคัญมาก ซึ่งไม่มีอะไรเป็นภาระกับบุคคลอื่นใด ปฏิกิริยาเหล่านี้อาจเป็นจริงกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ที่อาจจะอ่านวิธีใช้เวลาของท่านอย่างรอบคอบมากกว่าที่ตัวท่านรู้ปัญหามักเกิดขึ้นเมื่อการแปลความหมายของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ไม่ตรงกับความจริง หรือแตกต่างจากสภาพเป็นจริง โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับว่า ใคร หรืออะไร คือความสำคัญ

ตัวอย่างเช่น ท่านอาจจะพบว่า ท่านจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าปรกติกับบุคคลใต้บังคับบัญชาบางคนเป็นพิเศษ เพราะเป็นวิธีการใหม่หรือปัญหาเฉพาะพิเศษในเรื่องที่บุคคลนั้น ๆ ทำงานอยู่ ถ้าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เวลาของท่านที่ใช้กับผู้ใต้บังคับบัญชาอื่น ๆ ถูกลดลงในบางโอกาส จะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกว่า ท่านสนใจสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนแรกกำลังกระทำอยู่มากกว่า และอาจจะให้ความสนใจกับบุคคลนั้นมากกว่าพวกเขาทั้งหลาย “ค่า” ของเวลาของท่าน ย่อมแปรเปลี่ยนไปจากชั่วขณะหนึ่งไปสู่อีกชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของเวลาที่ท่านทำ และเวลามากเท่าใดที่ท่านต้องทำในช่วงนั้น ตัวอย่างเช่น การสื่อสารอาจจะเครียด เมื่อท่านอยู่ในช่วงที่ต้องรีบด่วนมาก เพื่อทำรายงานให้สมบูรณ์ และมีผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาพบเพื่อคุยกับท่านชั่วขณะ หรือในอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าเวลาที่ท่านใช้มีค่าเกือบจะประมาณกันสำหรับสม่าชิกทั้ง ๒ คน (ตัวอย่าง ไม่มีคนใดมีอะไรที่ดีกว่านั้นทำ) การพูดคุยนั้น ๆ ก็อาจจะไม่เกิดความเครียดเช่นนี้ ความเครียดประเภทนี้อาจส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่เลวลง ถ้าอ่านในความหมายที่ว่า ไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่ หรืออ่านว่า “ท่านเป็นคนไม่ปรกติ และฉันไม่ต้องการเสียเวลากับท่าน” ความเครียดเช่นนี้อาจจะหลีกเลี่ยงได้ด้วยคำอธิบายถึงสถานการณ์ของท่าน และเหตุผล ที่ท่านต้องเร่งรีบ หรือการทำเวลานัดพบกันใหม่ในโอกาลต่อไป เพื่อทดแทนเวลาที่ไม่ได้พบ ถ้ามีความจำเป็นก็อาจจะช่วยได้มาก

โดยทั่ว ๆ ไป เนื่องจากเวลาถูกมองว่าเป็นทรัพยากรที่หายาก ฉะนั้น เมื่อเราใช้เวลาไปกับใครย่อมเป็นสัญญาณบอกว่า บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่เราให้ความเอาใจใส่ การระมัดระวังในเรื่องนี้ย่อมสามารถช่วยให้ท่าน สร้างสัมพันธภาพที่มีผลดี ด้วยการกล่าวออกด้วยเสียงดังว่า การที่ท่านใช้เวลาดังเช่นที่ใช้อยู่นั้นมีความหมายอะไรสำหรับตัวท่าน ทั้งยังเป็นการช่วยบุคคลอื่นมิให้ด่วนทำการสรุปผิด และยังช่วยปกป้องตัวท่านมิให้ได้รับความเดือดร้อนจากความรู้สึกของตัวท่านเอง อันเนื่องมาจากการสนองตอบต่อปฏิกิริยาตามเงื่อนไข โดยปราศจากการตรวจสอบให้แน่ชัดในข้อสันนิษฐานที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของท่าน

ความซํ้าซ้อน

เวลายังมีความหมายสำหรับเราในการใช้ให้หมดไปกับการปฏิบัติกิจกรรมซํ้ารูปเดิม คนเราส่วนมากเกิดความรำคาญใจ เมื่อมีใครเข้าขัดขวาง รูปแบบที่เราเคยชินกับมัน ตัวอย่างเช่น การไม่ได้หยุดพักดื่มกาแฟที่เคยชิน ซึ่งทำอยู่ในช่วงเวลาหยุดพักดื่มกาแฟภาคเช้า เวลา ๑๐.๐๐ น.หรือการที่ต้อง ทำงานล่วงเวลาและไม่ได้รับประทานอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัวของท่าน เป็นต้น

เราใช้และรู้สึกอย่างไรต่อช่วงรื่นเริงในฤดูกาลต่าง ๆ หรือการใช้ รูปแบบของเวลาที่ต่างไป ล้วนมีความหมายที่ต่างไปด้วย คนเรามักเคยชินกับกิจกรรมบางอย่าง เคยชินกับความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับงานสมโภชตามฤดูกาลต่าง ๆ หรือในวันหยุดพักผ่อนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น งานฉลองคริสต์มาส มักจะเข้าใจว่าเป็นเวลาเฉลิมฉลองที่เป็นพิธีกรรมที่จะได้อยู่กับเพื่อนฝูงและครอบครัว และแสดงความรักและความอบอุ่นต่อกัน ปรกติจะมีงานทำน้อยลงในช่วงวันหยุดฉลองคริสต์มาล และการที่จะพยายามจัดงานล่วงเวลาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติงานในช่วงของฤดูกาลแบบนี้ ย่อมสามารก่อให้เกิดความเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง

การเลิกล้มกิจกรรมบางอย่างที่ได้เคยสร้างเป็นประเพณีที่คงรูปแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกแตกแยก และถ้าท่านเป็นบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นสาเหตุให้เกิดการเลิกล้มนั้น ย่อมจะทำให้ความรู้สึกเคียดแค้นต่าง ๆ พุ่งมาที่ตัวท่าน ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านจะต้องให้ความระมัดระวังเวลาที่ท่านวางแผนเปลี่ยนแปลงภารกิจใดก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด ท่านจะต้องใช้ทักษะการตั้งคำถามเพื่อช่วยในการพิจารณาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยเฉพาะส่วนตัว และความมุ่งหวังของแต่ละบุคคลด้วย

ด้วยเหตุที่การใช้เวลาของเรา เป็นเสมือนภาษาที่กล่าวด้วยวาจา ฉะนั้น การรับรู้ในความหมายของเวลา ย่อมจะช่วยทำให้การสื่อสารกันง่ายขึ้น

และสัมพันธภาพระหว่างกันสะดวกขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะสำหรับนักบริหาร ด้วยเหตุเพราะมีแนวโน้มที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะคอยเฝ้าสังเกตดูนักบริหารอย่างเข้มงวด เพื่อได้ข้อมูลป้อนกลับประเภทอวาจา การเป็นคนตรง และบอกกล่าวถึงสาเหตุของการใช้เวลาของเราอย่างตรงไปตรงมา ย่อมจะสามารถดำเนินไปได้ในระยะทางยาวนาน โดยพ้นจากการเข้าใจผิดและจะสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ได้ผลิตผลและไว้วางใจกันได้เพิ่มมากขึ้น