การใช้ภาษาร่างกาย

เมื่อมีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่าง ๒ บุคคล โดยเฉพาะระหว่างผู้ บริหารและพนักงานนั้น คุณสมบัติที่ถือเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่มีค่าและไม่พึงปฏิเสธคงจะได้แก่ สมรรถภาพในการสื่อภาษาร่างกายด้วยท่าที นำความพอใจมาให้ และสมรรถภาพในการอ่านภาษาร่างกายที่ผู้อื่น แสดงออก ภาษาร่างกายของพนักงานของท่านมีความสำคัญมากสำหรับท่าน เพราะจะบอกท่านได้ว่า คำพูดของท่านเป็นที่ยอมรับมากน้อยเพียงไร ด้วยการแสดงอารมณ์และทัศนคติโดยอวาจา ท่านเองก็อาจจะแสดงการเห็นด้วยในคำพูดของพวกเขาด้วยการผงกศีรษะรับอย่างช้า ๆ หรือพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น การโต้แย้งอาจจะปรากฎให้เห็น เมื่อพนักงานของท่านสั่นศีรษะหรือเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ หรือสงสัย แม้ไม่มีการกล่าวแสดงถึงทัศนคติ ท่านก็จะต้องทราบถึงผลกระทบจากคำพูดของท่านก่อนที่ท่านจะพูดจบ โดยตรวจสอบจากภาษาร่างกายที่แสดงโดยพนักงานของท่าน ในการบริหารเชิงประสานสัมพันธ์ จงให้ความสำคัญกับภาษาร่างกายที่พนักงานแสดง การแสดงออกทางร่างกายย่อมจะเป็นแนวนำบทสนทนาของท่าน และการปฏิสัมพันธ์แต่ละครั้ง ควรจะนำไปตามอารมณ์ และทัศนคติของพนักงานในลักษณะที่แปลได้จากภาษาร่างกาย จงตักเตือนอย่างสมํ่าเสมอเกี่ยวกับภาษาร่างกายของพนักงาน และเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอันอาจจะเกิดขึ้นในการแสดงตน และท่าทางซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับทัศนคติ แล้วท่านจึงจะสามารถปรับการแสดงออกของท่านให้เป็นไปด้วยได้ ความเปลี่ยนแปลงในการแสดงตนด้วยภาษาร่างกาย ซึ่งพนักงานสื่อให้ทราบอาจจะให้ความหมายว่า เขาพร้อมที่จะสร้างความรับผิดชอบตอบรับแผนปฏิบัติการใหม่ สิ่งที่ปรากฏเป็นที่สังเกตได้ คือสัญญาณของการผ่อนคลายอารมณ์ เช่น การวางข้อเท้าอย่างอิสระ ยืดแขนและมือออกต้อนรับท่าน การเคลื่อนตัวออกมานั่งด้านหน้าของเก้าอี้ อะไรก็ตามซึ่งแสดงว่าพนักงานของท่านกำลังฟังท่าน และปรับคลื่นตนเองเข้าสู่ข้อสาระของท่าน แต่ถ้าในทางตรงข้าม พนักงานของท่านไขว้ขา กอดอกแน่นและนั่งพิงพนักเก้าอี้ต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนแสดงว่าท่านไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เขาไม่ยอมรับต่อสิ่งที่ท่านกำลังกล่าว และต้องเปลี่ยนวิธีจัดการกับเขาใหม่ เพื่อดึงดูดจิตใจเขากลับคืนมา ถ้าพนักงานของท่านเริ่มผงกศีรษะไปกับท่านและทำการลอกเลียน ท่าแบบเดียวกับท่าน โดยเฉพาะในด้านการพิงพนักเก้าอี้ […]

การแปลความหมายของกลุ่มอากัปกิริยา

อากัปกิริยาที่ร่วมกันบางกลุ่ม ย่อมเป็นตัวกำหนดที่น่าเชื่อถือได้ เกี่ยวกับความรู้สึกที่แท้จริงของบุคคล อากัปกิริยาที่ร่วมกันเหล่านี้ เรียกว่า กลุ่มอากัปกิริยา อากัปกิริยาที่แสดงภาษาร่างกายแต่ละท่าย่อมมีความหมาย อิงซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์ภาษาร่างกายของแต่ละบุคคล ควรจะต้องคิดถึงความหมายของสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อสความมั่นใจว่า ภาษาร่างกายนั้น ๆ เป็นภาษาที่ชัดเจนและเข้าใจได้ถูกต้อง การแปลความหมายของกลุ่มอากัปกิริยา ช่วยทำให้การวิเคราะห์สถานภาพทางจิตใจของบุคคล มีความหมายที่สมบูรณ์มากขึ้น ถ้าแต่ละอากัปกิริยาอยู่ในกลุ่มที่เหมาะสม อีกนัยหนึ่งย่อมหมายความว่า แต่ละอากัปกิริยาโดด ๆ ย่อมต้องมีความเหมาะสมเข้ากันที่จะแสดงข้อความที่มีความหมายง่าย ๆ เมื่อความหมายเข้ากันไม่ได้ย่อมแปลว่า ท่านกำลังเผชิญกับความไม่สอดคล้องต้องกัน ตัวอย่างของความไม่สอดคล้องต้องกัน ได้แก่ การหัวเราะแบบตื่นกลัว การหัวเราะทั่ว ๆ ไป น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกและความสบายใจ แต่เมื่อการหัวเราะนั้นมีลักษณะถูกบีบคั้น หรือตื่นกลัว ในขณะที่สัญลักษณ์อื่น ๆ ทางภาษาร่างกาย ได้แก่ การเคลื่อนไหว ส่วนขาและแขนอย่างกลัว ๆ และเมื่อร่างทั้งร่างเปลี่ยนไปเหมือนกับพยายามจะหนีสถานการณ์ที่เลวร้าย ท่านย่อมรู้ได้เลยว่า การหัวเราะครั้งนั้นไม่ได้ หมายถึง ความสนุกหรือความสบายอารมณ์ เสียงหัวเราะเกิดขึ้นเพื่อปกปิดความทุกข์ และอาจจะเป็นความกลัวก็ได้ ฉะนั้นในการอ่านภาษาร่างกาย จงแน่ใจว่า ท่านมองที่กลุ่มอากัปกิริยาทั้งหมด และความสอดคล้องต้องกันด้วย จงจำไว้ว่าภาษาร่างกายอาจจะช่วยเสริม ช่วยเน้น […]

การแปลความหมายของภาษาร่างกาย

ภาษาร่างกาย คือ ภาษาที่แปลความได้จากอากัปกิริยาหลายประเภท อากัปกิริยาที่อยู่ในสาขาสำคัญ ๆ ที่จัดเป็นประเภทการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด ได้แก่ ดวงตา ใบหน้า แขน ขา ตลอดจนการวางท่า (ท่านั่ง และท่าเดิน เป็นต้น) ท่านสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับคนอื่น และคนอื่นก็บอกเกี่ยวกับท่านได้ โดยอาศัยการสังเกตอากัปกิริยา อย่างไรก็ตาม อากัปกิริยาแต่ละท่าที่แยกโดด ๆ ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกับคำ ๑ คำในประโยค ย่อมเป็นการยากมากและเป็นอันตรายที่จะแปลความในตัวของมันเอง และด้วยตัวของมันเองเพียงคำเดียวโดด ๆ นอกเสียจากว่าเป็นคำ ในประโยคประเภทประโยคคำเดียว มิฉะนั้นแล้วการที่จะแปลความให้ได้ความหมายสมบูรณ์เต็มที่ ย่อมต้องอาศัยมากกว่า ๑ ประโยค ฉะนั้นท่านจะต้องพิจารณาท่าทางจากอากัปกิริยาอื่น ๆ ที่อยู่แวดล้อมตัวท่านด้วย คำโดด ๆ มีความหมายเฉพาะคำฉันใด อากัปกิริยาแต่ละท่าย่อมมีความหมายเฉพาะบางอย่างด้วยฉันนั้น เมื่อคำหลายคำถูกจัดไว้ด้วยกันให้เต็มรูป ประโยคก็ย่อมจะสื่อความหมายที่เต็มรูปแบบมากขึ้น เมื่อท่าทางแต่ละท่าถูกจัดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ก็ย่อมจะให้ความหมายที่สมบูรณ์และถูกต้องตามที่บุคคลนั้นมีความคิดและความรู้สึกอยู่ขณะนั่น ก่อนที่จะให้ความสนใจ ที่ทัศนคติและความหมายที่เป็นเป้าการแสดงออกด้วยท่าทางต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ เราคงจะต้องสนใจมองที่การแปลความที่รู้ๆ กันอยู่ของท่าทางที่โดด ๆ แต่ละด้านเสียก่อน ดวงตา ดวงตาเป็นที่รู้ว่า […]

การใช้ภาษาร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

สมมุติว่าท่านเพิ่งเรียกพนักงานคนหนึ่งของท่านเข้ามาในห้องทำงาน ของท่าน เขาไม่รู้ว่าท่านตั้งใจจะพูดกับเขาถึงปัญหาวินัยที่ผ่านมาซึ่งท่านเพิ่งค้นพบ ท่านตัดสินใจที่จะเข้าให้ถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาที่นี่และเดี๋ยวนี้ พนักงานเข้ามาในห้องทำงานของท่าน และท่านกล่าวต้อนรับให้เขานั่ง ขณะที่ท่านเริ่มสนทนาด้วยภาษาที่ใช้ทักทายกัน พนักงานของท่านมองตรงมาที่ท่าน เอียงศีรษะนิดหน่อย ขาและแขนไม่ไขว้ ถอดกระดุมเสื้อนอก นั่งเอียงมาด้านหน้าของเก้าอี้ ปล่อยแขนตามสบาย เมื่อท่านเคลื่อนเข้าสู่หัวข้อที่ละเอียดอ่อนขึ้น ร่างของพนักงานเปลี่ยนอยู่ในท่าแข็งมากขึ้น ขาและแขนไขว้กันแน่น ริมฝีปากเม้ม กำมือแน่น คงประสานตากับท่านเพียงเล็กน้อย ขณะที่เขาเริ่มเล่าเรื่องในด้านที่เป็นของเขา เขายังไม่สามารถประสานสายตาด้วย และยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมมองตอบท่านด้วย ในช่วงที่การสนทนาใกล้จะจบลงเขาดูเหมือนจะเหลือบตาขึ้นมอง ลูบจมูกตนเอง ไปมาและใช้มือกำบังปากไว้ ขณะที่ท่านกำลังฟัง ท่านกำลังมองลอดแว่นตาของท่าน เป็นการเหลือบมองด้วยหางตาเป็นระยะ ๆ และสลับด้วยการเลิกคิ้ว เมื่อใกล้จะจบการสนทนา ท่านบอกพนักงานของท่านว่า ท่านตั้งใจที่จะเปิดใจกว้างเกี่ยวกับสถานการณ์ และจะมองลึกเข้าไปในปัญหาอีกครั้งในลักษณะที่ตรงไปตรงมามากขึ้น ในขณะที่พนักงานของท่านออกจากห้องทำงานของท่าน ท่านนั่งพิงพนักเก้าอี้ เอานิ้วมือไขว้หนุนหลังคอไว้ ยกเท้าทั้ง ๒ ข้างขึ้นวางพาดบนโต๊ะ ท่านอดขำไม่ได้ว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นอกเหนือจากคำพูดแท้ๆ ที่กล่าวออกมา แต่ท่านไม่สามารถจัดการกับมันได้ ท่านไม่ได้เชื่อคำพูดที่เขากล่าวแม้แต่คำเดียว เพราะด้วยเหตุที่เขาแสดงออก แต่ท่านไม่ต้องการทำให้เขารู้ว่าท่านกำลังสงสัย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้บอกเขาว่า ท่านจะเปิดใจกว้างและตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ ท่านตระหนักว่าทั้งตัวท่านเองและพนักงานของท่าน ไม่ค่อยจะได้สื่อสารต่อกัน อย่างเปิดเผยด้วยภาษาคำพูด แต่เปิดเผยให้เห็นในภาษาร่างกาย การเคลื่อนไหวทางร่างกาย การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง […]

การสื่อสารด้วยสำเนียงของเสียง

ท่านคิดว่า บุคคลที่พูดเร็วและเสียงดังนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ท่านอาจจะ บอกว่า บุคคลนั้นกำลังตื่นเต้น หรือเกิดความกระตือรือร้น หรือโกรธหรืออาจจะกังวลอย่างมาก อย่างไรก็ตามพอรู้ว่า คนที่กำลังพูดเร็วและดังนั้น อาจจะไม่ได้มมีความหมายอะไรในขณะนั้นๆ บุคคลนั้นอาจจะมาจากภาคใต้ ซึ่งตามธรรมชาติบุคคลถิ่นนี้ก็พูดเร็วและดัง หรือบุคคลนั้นอาจจะมาจากครอบครัวใหญ่ และเคยพูดเสียงดังและเร็วเพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ฉะนั้นเมื่อบุคคลพูดดังและเร็วจะมีความหมายอะไรเล่า ไม่มี อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลนั้นพูดช้าลงและเสียงเบาลง และในบางช่วงของการสนทนาเริ่มพูดดังขึ้นและเร็วขึ้น นั่นอาจจะมีความหมายบางอย่าง โดยทั่วไปนี่เป็นสัญญาณที่ดี แต่อาจจะเป็นสัญญาณที่เลวก็ได้ด้วย  เราจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับอารมณ์ต่าง ๆ กัน หลาย ๆ อารมณ์ที่คนแสดงออกโดยอาศัยสำเนียงขึ้นๆ ลงๆ ของเสียง สำเนียงของเสียงหรือลักษณะของเสียง เป็นรูปแบบการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เป็นอวาจา เรื่องนี้สำคัญมากและต้องจำให้ดีไม่ใช่เฉพาะในการสร้างสัมพันธภาพในเรื่องบริหารงานเท่านั้น ในเรื่องการสร้างสัมพันธภาพส่วนตัวก็เช่นกัน การสื่อความประเภทอวาจาในด้านสำเนียงของเสียง หมายถึง การแบ่งข้อสนเทศที่ใช้เสียงออกจากข้อสนเทศที่ใช้ถ้อยคำ และแน่นอนย่อมมีความแตกต่างระหว่างข้อสนเทศ ๒ ประเภทนี้ ข้อสนเทศ ที่ใช้เสียง เป็นส่วนของความหมายในข้อความที่หายไป เมื่อคำพูดนั้นใช้วิธีสื่อสารด้วยการเขียนมากกว่าการกล่าว ส่วนของข้อความที่ใช้เสียงและใช้วาจามักไม่ค่อยสื่อสารได้ความหมายหรือความรู้สึกที่ตรงกัน ความหมายที่ถูกผนวกไว้อาจจะมีที่มาจากคำพูดที่ผู้อื่นกล่าว แต่ ความหมายนอกเหนือจากคำพูดสามารถเติมเข้าในคำพูดได้ ด้วยการเปลี่ยนเพียงสำเนียงของเสียงเท่านั้น การเปลี่ยนคุณภาพของเสียงสามารถ เปลี่ยนความหมายหรืออารมณ์ของคำในกลุ่มเดียวกัน จากความหมายเดิมสู่อีกความหมายหนึ่งได้ มีตัวอย่างแสดงให้เห็นได้ เช่น ตัวอย่างของครู […]

องค์ประกอบของภาพพจน์

ภาพพจน์รวมที่ท่านสร้างให้อยู่ในสายตาของผูอื่นนั้น มีส่วนประกอบจากหลายสิ่ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีตั้งแต่ภาพประทับใจครั้งแรกที่ท่านสร้างขึ้น ความลึกซึ้งของความรู้ ความกว้างไกลในความรู้ที่มีอยู่ ความยืดหยุ่นในตัวท่าน ความอยากรู้อยากเห็นเป็นส่วนตัว และความจริงใจในตัวท่าน สิ่งต่างๆ ทั้ง ๖ ด้านนี้ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างภาพพจน์ ขอให้เราสำรวจต่อไปในรายละเอียด ภาพประทับใจครั้งแรก “ภาพประทับใจครั้งแรก มักเป็นความประทับใจที่ยืนยง” ท่านคงจะเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านเคยพิจารณาไตร่ตรองอย่างจริงจังหรือไม่  ท่านเคยคำนึงถึงเครือข่ายโยงใยของความประทับใจครั้งแรกของท่านที่มีต่อบุคคลอื่นหรือไม่ ความประทับใจครั้งแรกของท่าน เป็นผลกระทบขั้นแรกต่อสายตาผูอื่น มันจะครอบคลุมไปถึงเรื่องการแต่งตัว เสียงพูด ความสง่าในตัว วิธีจับมือทักทาย การประสานสายตา และการวางตัว เป็นต้น วิธีการจัดการที่ท่านเลือกใช้ ในแต่ละองค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อภาพที่ผู้อื่นมองเห็นในตัวท่านเป็นอันแรก ภาพประทับใจทางบวกในครั้งแรกสามารถทำให้การสื่อสารในตอนเริ่มต้นและตอนต่อ ๆ ไปกับคนอื่น ๆ ง่ายขึ้นและเป็นกันเองมากขึ้น ส่วนภาพประทับใจทางลบในครั้งแรก อาจจะทำให้ขาด สัมพันธภาพก่อนที่จะเริ่มต้นอะไรลงไป คนบางคนสามารถลบรอยประทับใจที่เลว ๆ ในครั้งแรกได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คนจำนวนมากยอมพ่ายแพ้แทนที่จะเพียรพยายาม เพื่อเปลี่ยนภาพประทับใจทางลบ ที่ผู้อื่นสร้างไว้กับตน ท่านเคยตัดสินบุคลิกภาพและหรือความสามารถของคนจากสิ่งที่เขาสร้างความประทับใจให้ท่านเป็นครั้งแรกเพียงอย่างเดียวหรือไม่ อะไรเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของท่าน เมื่อท่านคิดถึงคนที่มีสำเนียงภาษาถิ่น เพี้ยนหนักไปทางภาษาใต้ […]

การสร้างภาพพจน์ให้เหมาะสม

ท่านเคยดูตัวท่านในทีวีหรือวีดิทัศน์เทปบ้างหรือไม่ ท่านเคยได้ยินเสียงของท่านในเทปบันทึกเสียงบ้างหรือไม่ ท่านเคยพิจารณาภาพถ่ายของตัวท่านบ้างหรือไม่ ท่านมองตัวท่านและเสียงของท่านอย่างไร ท่านสร้างภาพพจน์ในลักษณะที่ท่านอยากจะให้ผู้อื่นมองเห็นหรือไม่ ภาพพจน์เกี่ยวกับตัวท่านเหล่านี้เป็นภาพที่สำคัญมาก เพราะภาพเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดที่ว่า ท่านจะทำตนอย่างไรต่อหน้าบุคคลทั่วไป ไม่ว่าทางด้านบวก หรือทางด้านลบ การสร้างภาพพจน์ของตนที่ ‘‘สมบูรณ์” ต่อสายตาคนอื่น ๆ ย่อมช่วยสร้างความเชื่อถือ และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เขาเหล่านั้นย่อมได้รับความสบายใจและเป็นกันเองมากขึ้นเมื่ออยู่แวดล้อมตัวท่าน เมื่อท่านมีภาพพจน์ที่เหมาะสมก็จะทำให้ท่านสื่อสารกับบุคคลเหล่านี้ง่ายขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าภาพพจน์เกี่ยวกับตัวท่านไม่เหมาะสม ในสายตาของคนอื่น หรือในสถานการณ์ใดก็ตาม ภาพพจน์นั้น ๆ ย่อม จะสร้างเครื่องกีดขวางซึ่งจะเป็นอุปสรรคมิให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภาพพจน์สำคัญ ๆ ที่ท่านมองตนเอง ย่อมจะเสริมพลังให้เข้มข้นขึ้น จากข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับอย่างดี ดังตัวอย่างในกรณีของการปราศรัยหาเสียงที่มีชื่อเสียงระหว่างเคนเนดีและนิกสัน ซึ่งครั้งนั้น เคนเนดีได้รับชัยชนะ เพราะภาพพจน์ที่ประชาชนศรัทธาในบุกคลิกและลักษณะภายนอกของเขา มิใช่เพราะเนื้อหาของคำปราศรัย และเหตุนี้เอง กลายเป็นจุดพลิกโผการเลือกตั้งครั้งนั้น ดูเหมือนเป็นการไร้เหตุผล ในการที่มนุษย์เราชอบที่จะตัดสินคุณภาพของหนังสือจากปกหนังสือ และคนปกติไม่สามารถลบรอยประทับใจเริ่มแรกที่เลว ๆ เพื่อยอมเปิดเผยให้ผู้อื่นพบลักษณะประจำตนที่แท้จริงบางอย่าง และทักษะที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้ลักษณะเหล่านั้นได้ นอกจากนี้มนุษย์ยังมีวิธีแสดงปฏิกิริยาต่อกันในลักษณะที่พยากรณ์กันอยู่ทั่วไปต่อคุณสมบัติบางอย่างที่อยู่ “เปลือกนอกเท่านั้น” คนเราจะสบายใจมากขึ้นถ้าจัดการกับสิ่งที่สามารถพยากรณ์ได้ซึ่งก็อาจจะดูไร้เหตุผลพอ ๆ กัน แต่นักบริหารที่เอาใจใส่ต่อข้อแนะนำเกี่ยวกับภาพพจน์ก็ย่อมจะประสบความสำเร็จมากกว่าบุคคลที่ไม่สนใจ นักบริหารที่มีลักษณะและแสดงตนเสมือนนักบริหารชั้นสูง ย่อมจะได้เปรียบเหนือนักบริหารที่ไม่แสดงภาพพจน์ของนักบริหารชั้นสูง เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนคนหนึ่งของเราเดินทางไปทำธุรกิจที่ยาวนาน แล้ว บังเอิญเกิดเม็ดผื่นขึ้นเต็มตัว […]