ขั้นตอนและหลักการเกี่ยวกับการสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์ที่ดีนั้นมีหลักการที่ควรยึดถือหลาย ๆ ประการที่จะช่วยให้การดำเนินการสัมภาษณ์ประสบผลความสำเร็จด้วยดี หลักการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถอธิบายให้ทราบได้ในขั้นตอนกระบวนการ ของการสัมภาษณ์ดังนี้คือ 1. ขั้นของการเตรียมการ (Preparation) 2.  การจัดสภาพแวดล้อมสำหรับการสัมภาษณ์ (Setting) 3.  การกำกับและดำเนินการสัมภาษณ์ (Conduct of the interview) 4.  ขั้นของการปิดสัมภาษณ์ (Close) 5.  ขั้นของการประเมินการสัมภาษณ์ (Evaluation) 1.  การเตรียมการสัมภาษณ์ ก่อนที่จะดำเนินการทำการสัมภาษณ์พนักงานนั้น ผู้ทำการสัมภาษณ์ควรจะได้มีการเตรียมการในสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการสัมภาษณ์ให้พร้อมเพรียง สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการกำหนดเวลาไว้ล่วงหน้า ตลอดจนการได้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องมีไว้พร้อมก่อนดำเนินการสัมภาษณ์ ในขั้นของการเตรียมการนี้ควรจะได้พิจารณาจัดเตรียมและจัดทำเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญต่อไปนี้คือ ก.) ควรจะได้มีการกำหนดเป้าหมายที่ต้องการของการดำเนินการสัมภาษณ์ กล่าวคือ การได้กำหนดเป้าหมายหรือทบทวนและพิจารณาถึงสิ่งที่ต้องการในการสัมภาษณ์ ย่อมจะช่วยให้มีโอกาสที่จะทำการสัมภาษณ์ได้ดีขึ้น และช่วยให้เข้าใจได้ว่ามีข้อมูลประการใดบ้างที่ควรจะเสาะหาจากการ ทำการสัมภาษณ์จึงจะได้ประโยชน์ที่สุด ที่จะนำมาพิจารณาได้ในภายหลัง ข. ควรจะได้มีการกำหนดวิธีการสัมภาษณ์ ที่จะช่วยให้สามารถบรรลุได้ตามเป้าหมายดังกล่าว ในที่นี้ก็คือควรที่จะต้องตัดสินใจหรือตกลงใจเกี่ยวกับวิธีที่จะเลือกใช้ในการสัมภาษณ์ ซึ่งความเหมาะสม ของแต่ละวิธีของการสัมภาษณ์นั้นย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรณีต่าง ๆ เช่น ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ที่จะเข้าทำการสัมภาษณ์ […]

ข้อปฏิบัติและแนวทางสำหรับผู้ทำการสัมภาษณ์

วิธีที่จะปรับปรุงให้การสัมภาษณ์สามารถกระทำได้ผลดีขึ้น มีข้อแนะนำเป็นแนวทางทั้งหมด 8 ประการด้วยกัน คือ 1. พยายามใช้วิธีการสัมภาษณ์ที่มีโครงเรื่องจดไว้เป็นแนวทางให้มาก อย่างที่ กล่าวมาแล้วว่า การสัมภาษณ์โดยมีคำถามที่จัดเป็นโครงเป็นแบบไว้เพื่อใช้เป็นแนวทางนั้น มักจะให้ประโยชน์ได้มากกว่า กล่าวคือ จะช่วยให้การเก็บรวบรวมข้อมูลการบันทึกข้อมูลในขณะทำการสัมภาษณ์ทำได้ครบถ้วน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าถ้าหากไม่มีแบบฟอร์มคำถามแล้ว ผู้ทำการสัมภาษณ์มักจะไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลหรือจำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์คนเป็นจำนวนมาก ๆได้เท่าที่ควร หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลงประมาณ 20 นาที ก็มักจะลืมเรื่องที่ได้ฟังมาแล้ว นอกจากนี้คำถามที่มีไว้เพื่อเป็นแนวทางยังช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า จะไม่มีการตกหล่นและบกพร่องหรือลืมถามคำถามที่สำคัญ ๆ และผลพลอยได้จากวิธีนี้ก็คือ ผู้ทำการสัมภาษณ์จะพูดน้อยลงและในทางกลับกันก็จะเป็นผลส่งเสริมให้ผู้ถูกสัมภาษณ์บรรยายความรู้สึกได้มากขึ้น นอกเหนือจากนี้เครื่องมือ ดังกล่าวยังช่วยให้เรามีโอกาสประเมินผู้ถูกสัมภาษณ์ทุก ๆ คนได้อย่างครบถ้วน หลังจากการสัมภาษณ์ สิ้นสุดลง ซึ่งย่อมจะช่วยให้การปฏิบัติผิดที่จะด่วนสรุปความคิดหรือการจับเอาเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งมาประเมินให้มีน้อยลงได้ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถลดข้อมูลให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมไม่เป็น ายละเอียดมากเกินไป ซึ่งการเปรียบเทียบด้วยมาตรฐานเดียวกันก็จะสามารถกระทำได้ โดยไม่มีอิทธิพลของข้อแตกต่างของผู้สมัครที่เข้ามาต่างจังหวะขั้นตอน แนวทางคำถามของการสัมภาษณ์ยัง ช่วยในการที่จะลดหรือป้องกันมิให้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลที่ไม่ดีเข้ามาสู่ความคิดของผู้ทำการสัมภาษณ์   มากเกินไป กล่าวคือ ด้วยคำถามที่แน่นอนนั้น จะช่วยให้เรามีทัศนคติที่ปลอดกว่าเดิมที่จะมีสิ่งที่ถูกต้องอยู่ในใจเกี่ยวกับประเด็นที่จะดำเนินการถามระหว่างดำเนินการสัมภาษณ์ มากกว่าข้อมูลที่ได้อ่านมาก่อนซึ่งการมีคำถามนำนี้ มักจะเป็นเครื่องป้องกันมิให้มีการเผลอไผลไปอิงอยู่กับการตอบคำกาม เพียง 2-3 ข้อ ซึ่งอาจจะได้รับคำตอบจากผู้ถูกสัมภาษณ์ ที่ได้มาเป็นข้อมูลที่ไม่ดีก็ได้ 2.  พยายามให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ต้องการเลือกคนให้มากที่สุด กรณีนี้ย่อมเป็นที่ชัดแจ้งที่ว่า ผู้ต้องการสัมภาษณ์จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อหาของงานอย่างแจ่มแจ้ง […]

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการใช้วิธีการสัมภาษณ์

การพิจารณาว่าอะไรเป็นปัญหาที่ทำให้ประโยชน์ของการทำสัมภาษณ์ไม่ได้ผลเต็มที่นั้น ปัญหาอาจจะสรุปได้ในกรณีต่าง ๆ  ซึ่งหลังจากที่ท่านได้ทราบปัญหาแล้ว ท่านก็คงจะสามารถที่จะหลีกเลี่ยงและทำการสัมภาษณ์ในวิธีที่ถูกต้องได้ผลเสมอ ปัญหาที่มักจะทำให้การสัมภาษณ์ล้มเหลวมักจะมีต่อไปนี้คือ 1.  การชิงทำการตัดสินใจไว้ในใจเสียก่อน ปัญหาประการแรกนี้ก็คือว่าถ้าไม่ระมัดระวังแล้ว ผู้ทำการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักจะรีบด่วนและชิงตัดสินใจเกี่ยวกับผู้สมัครในระยะไม่กี่นาทีแรกของการดำเนินการสัมภาษณ์ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นการยากลำบากแก่ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ คือ ผู้สมัครที่จะพยายามแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างที่อาจแสดงออกมาในระยะแรก ๆ ของการสัมภาษณ์ –                                            การชิงทำการตัดสินใจก่อน –                                            การมีข้อมูลที่ไม่ดีอยู่ในใจ –                                            ความไม่เข้าใจเกี่ยวกับงานที่ต้องการรับคน –                                            ข้อจำกัดเกี่ยวกับการว่าจ้าง –                                            การมีมาตรฐานเปรียบเทียบ –                                            ผลของอิทธิพลของอาการที่แสดงออก –                                            ข้อแตกต่างของวิธีสัมภาษณ์ –                                            ความชำนาญของผู้ทำการสัมภาษณ์ ทุกประการจะกระทบต่อประโยชน์จากการใช้วิธีสัมภาษณ์ ภาพที่ 9.3 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ที่จะได้จากการใช้วิธีสัมภาษณ์ จากการวิจัยค้นคว้า ได้พบสถิติที่สำคัญในเรื่องนี้ว่า 85% ของผู้ทำการสัมภาษณ์มักจะมีการตัดสินใจ ไว้ในความคิดของตนเกี่ยวกับตัวผู้สมัครก่อนที่ผู้สมัครจะทำการเข้ามาสัมภาษณ์เสียอีก ซึ่งอาจจะกระทำโดยสรุปเหตุผลเอาง่าย ๆ จากใบสมัคร หรือจากการได้เห็นบุคลิกภาพของผู้สมัครในครั้งแรก หรือในวินาทีแรกเท่านั้น 2.  การมีข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ หรือข้อมูลที่ไม่ดีอยู่ในใจ ผู้ทำการสัมภาษณ์มัก จะได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่ และมีความจำฝังแน่นอยู่กับข้อมูลที่ไม่ดีมากกว่าข้อมูลที่เป็นไปในทางดี เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร นอกจากนั้น วามประทับใจของผู้ทำการสัมภาษณ์มักจะมีการโน้มเอียงหรือมี […]

หลักจิตวิทยาพื้นฐานสำหรับการสัมภาษณ์

จากการค้นคว้าของนักวิชาการ ได้มีข้อแนะนำเกี่ยวกับหลักจิตวิทยาพื้นฐานที่จะให้การสัมภาษณ์เป็นไปโดยมีประโยชน์ถูกต้องมาก และได้ผลสมบูรณ์มากขึ้น ดังนี้ 1.  การที่จะต้องส่งเสริมให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบปัญหา จะเห็นได้ว่าการที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ จะกล้าตอบปัญหา หรือเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประสบการณ์งาน ตลอดจนเป้าหมายและทัศนคติ ของตนได้มากเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะบุคลิกและพฤติกรรมของผู้ทำการสัมภาษณ์เป็นสำคัญ ถ้าหากผู้ทำการสัมภาษณ์มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาและยอมให้ผู้สมัครพูดหรือมีโอกาสพูดได้มากแล้ว ผู้สมัครก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่หวั่นกลัว เพราะฉะนั้นผู้ทำการสัมภาษณ์จึง ต้องมีจิตวิทยาในการแสดงความเป็นมิตรและความเป็นกันเองและจะต้องพยายามเข้าใจเกี่ยวกับตั ผู้สมัคร โดยต้องพยายามละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งโดยทางตรง หรือการแสดงออกในทางอาการ อื่นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สมัครกำลังพูด โดยปกติแล้วผู้สมัครงานมักจะมีกำลังใจที่จะพูดอย่างเสรีและเต็มที่ ถ้าหากเขามีความพอใจเกี่ยวกับตัวผู้สัมภาษณ์และวิธีการดำเนินการสัมภาษณ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากได้มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันในเวลาอันสั้นอย่างได้ผลแล้ว การแสดงออกก็ จะเป็นไปโดยไม่มีการสงวนความลับเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นทัศนะจากตัวผู้สมัครเอง ข้อแนะนำประการนี้นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะโดยปกติแล้ว เรามักจะเห็นได้ว่าเป็นธรรมชาติของคนทั่วไป ที่จะไม่รู้สึกตนเองในสิ่งที่ตนได้แสดงออกมาในรูปของทัศนะหรือความคิด ถ้าหากว่าผู้ทำการสัมภาษณ์ ได้ใช้ศิลปในการชักนำให้เขาบรรยายความถึงสิ่งต่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริงอย่างถูกต้องแล้ว ข้อ เท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวผู้นั้นก็จะถูกเปิดเผยขื้นมาโดยที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่รู้ตัว 2.  อุปสรรคในการติดต่อสื่อความ ถ้าหากผู้สมัครที่กำลังถูกสัมภาษณ์มีความรู้สึกว่า ได้มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ขัดแย้งกันในแง่ทัศนคติและเป้าหมายกับของตัวผู้สัมภาษณ์แล้ว ผู้สมัครก็มักจะสงวนท่าทีไม่แสดงออก ถ้าหากผู้สมัครรู้สึกว่า ผู้ทำการสัมภาษณ์มิได้อยู่ในฐานะเดียวกันกับเขาแล้ว เขาก็จะสงวนที่จะไม่พูดในบางเรื่องที่อาจจะเป็นภัยแก่ตัวเอง และจะเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่ เป็นข้อดีเกี่ยวกับตัวเขาเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากผู้ทำการสัมภาษณ์ได้แสดงออกมาไม่ถูกต้องก็จะเป็นการขัดขวางทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ลังเลใจที่จะไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ทำการสัมภาษณ์จะต้องคำนึงถึงการวางตัวให้ถูกต้อง การใช้ภาษาควรคำนึงถึงพื้นฐานทางการศึกษา ซึ่งถ้าหากขัดกันแล้ว การสื่อความระหว่างสองฝ่ายก็จะเป็นไปโดยไม่ราบรื่นและกระท่อนกระแท่น ขาดตอน หรืออาจจะเป็นสภาพซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่ได้แสดงข้อมูลที่พึงจะต้องการแสดงต่อกัน 3.  […]

วิธีการสัมภาษณ์งานแบบต่างๆ

ก. การสัมภาษณ์ทางอ้อม (Non-directive Review) วิธีนี้ผู้ทำการสัมภาษณ์จะ ระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่สร้างบรรยากาศให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีความประหม่าโดยเฉพาะการที่จะไม่ทักถึงข้อผิดหรือจะไม่ให้ข้อมูลในสิ่งที่ตัวเองได้ประเมินในใจ และจะส่งเสริมให้ผู้สมัครมีความสบายใจและมีอิสระที่จะพูดหรือเจรจาได้อย่างเสรี วิธีที่ใช้ทำการสัมภาษณ์มักจะดำเนินการโดยพยายามตั้งคำกามที่ง่ายอย่างกว้าง ๆ เช่น ให้เล่าถึงประสพการณ์งานที่เคยทำมาก่อนและอนุญาตให้ผู้ถูกสัมภาษณ์แสดงความเห็นได้เต็มที โดยพยายามไม่ขัดจังหวะ ซึ่งผู้ทำการสัมภาษณ์มักจะทำเพียงการเสริมด้วยคำพูดว่า “แล้วเป็นอย่างไรอีก” หรือถามว่า “สภาพโดยทั่วๆไปในขณะนั้นเป็นอย่างไร” เพื่อที่จะชักนำให้ผู้สมัครเล่าเรื่องต่าง ๆ ต่อกันไปเรื่อย ๆ โดยทั่วไปแล้ววิธีการสัมภาษณ์ที่ไม่ได้มีการชักนำ หรือสัมภาษณ์ทางอ้อมนี้ ความสำคัญจะอยู่ที่ผู้ทำการสัมภาษณ์ที่จะต้องระมัดระวัง และแสดงความตั้งใจที่จะรับฟังโดยไม่พยายามโต้แย้งหรือตั้งคำถามที่แหวกแนวหรือคัดง้าง และจะไม่ขัดจังหวะหรือเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน หากแต่จะใช้วิธีการเจรจาอย่างสั้น ๆ และให้มีจังหวะหยุดพักที่เหมาะสมในระหว่างสนทนากัน ซึ่งการปฏิบัติตัวของผู้ทำการสัมภาษณ์ที่จะเสริมสร้างให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีความคล่องตัวและสบายใจดังกล่าวนี้จะมิใช่วิธีที่ง่ายนักที่ผู้ทำการสัมภาษณ์ใหม่ ๆ จะทำได้ ในการใช้วิธีสัมภาษณ์โดยไม่มีการชักนำนี้ ข้อดีก็คือ จะเปิดโอกาสให้มีการสนทนากันได้มาก โดยเฉพาะในบางประเด็นที่ผู้สมัครต้องการจะพูดเป็นพิเศษ ซึ่งนับว่าเป็นคุณค่าที่จะให้ผู้ทำการสัมภาษณ์ได้สังเกตโดยเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนทัศนคติหรือความรู้สึกได้ดีกว่ากรณีซึ่งใช้วิธีรวบรัดแบบให้ผู้ตอบตอบอย่างสั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ทำการสัมภาษณ์เลือกที่จะใช้วิธีการสัมภาษณ์โดยไม่มีการชักนำนี้ ถ้าหากผู้ทำการสัมภาษณ์มิได้ตั้งเป้าหมายที่ต้องการจะตรวจสอบแล้ว ประโยชน์ก็จะมีได้น้อยเช่นกัน ข. การสมภาษณ์แบบลึก (Depth Interview) การสัมภาษณ์แบบลึกนี้เป็นการสัมภาษณ์ที่ยากกว่าวิธีการสัมภาษณ์แบบไม่ได้มีการชักนำ ซึ่งการดำเนินการสัมภาษณ์ตามแบบวิธีนี้จะต้องมีการจัดเตรียมโครงเรื่องในรูปของคำถาม ที่จะให้ครอบคลุมกึงประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของผู้สมัครโดยเฉพาะในแง่ของการว่าจ้าง ตัวอย่างของคำถามมักจะต้องครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องงาน, การศึกษา, การสัมพันธ์กับสังคม, พื้นฐานทางเศรษฐกิจ […]