การพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานอาชีพที่กระทำโดยองค์การ

ในปัจจุบันได้มีองค์การจำนวนมากที่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการที่จะช่วยเหลือพนักงานของตนให้สามารถสร้างหนทางก้าวหน้าสำหรับอาชีพของเขาเหล่านั้นได้  แต่อย่างไรก็ตาม  กิจกรรมด้านนี้ที่ทำขึ้นจากฝ่ายองค์การก็ยังมีไม่มากนักเช่นกัน  ถ้าหากองค์การได้มีแนวนโยบายที่จะส่งเสริมและช่วยเหลือพนักงานในเรื่องนี้  ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวคนงาน  เพื่อที่จะสามารถชี้แนวทางตลอดจนแนะนำหรือวางแผนความก้าวหน้าให้ได้

วิธีการที่จะได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น Ddgar Schein ได้เคยวิเคราะห์สำรวจอาชีพของผู้สำเร็จปริญญาโททางด้านการบริหารธุรกิจจาก M.I.T.  จำนวน 44 คน  ซึ่งสำเร็จการศึกษาไปแล้ว 15 ปี  ผลการสำรวจได้ให้ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งสำหรับการเป็นแนวทางในการพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานอาชีพเป็นอย่างมาก  ความก้าวหน้าในข้อเท็จจริงที่พบก็คือ ความก้าวหน้าในสายงานอาชีพของคนส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาชีพของแต่ละคนที่ปักหลักอยู่นาน (Individual’s career “anchor”) หรืออาชีพที่สำคัญที่สุดที่ต้องการ (Major career need) Schein ได้ค้นพบแบบของอาชีพที่โน้มเอียงไปในทางต่าง ๆ 5 ประเภทด้วยกัน คือ

1.  พวกที่มีความสามารถในทางการบริหาร(Managerial Competence)

เป้าหมายของอาชีพเบื้องต้นของกลุ่มนี้ก็คือ  จะพยายามพัฒนาความรู้ความสามารถในทางการบริหาร เช่น ความสามารถในเชิงเข้ากับคน  ตลอดจนความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการฝึกให้มีความมั่นคงทางอารมณ์ ตำแหน่งต่าง ๆ ของบุคคลเหล่านี้ที่ดำรงอยู่หรือที่พยายามจะได้ก็คือ การเป็นผู้อำนวยการทางด้านการบริหารแผนงานของหน่วยงานหรือการเป็นผู้อำนวยการด้านการบริหารทั่ว ๆ ไป หรือเป็นประธานของบริษัท

2. กลุ่มที่มีความสามารถทางด้านเทคนิคและการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ (Technical/Funtional Competence)

จุดโน้มเอียงของกลุ่มนี้ที่สนใจเป็นพิเศษก็คืองานที่ปฏิบัติอยู่จริง ๆ ในปัจจุบันของแต่ละคน แผนของบุคคลเหล่านี้มุ่งที่จะให้มีความก้าวหน้าต่อเนื่องที่จะทำต่อเนื่องกันไปในงานเก่านี้เอง  เช่น การเป็นพนักงานผลิตและมุ่งต่อไปที่จะเป็นผู้จัดการฝ่ายโรงงานหรือผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมในโฆษณาและผู้อำนวยการวิเคราะห์ต้นทุน ตามด้านงานเทคนิคหรือหน้าที่งานที่ชำนาญอยู่แล้วเป็นด้าน ๆ ไป

3. กลุ่มที่คำนึงถึงความมั่นคง (Security)

ผู้บริหารเหล่านี้มักจะมองตัวเองโดยสนใจที่จะตอบสนองหรือทำงานอยู่ในองค์การใดองค์การหนึ่งต่อไปในระยะยาว  บุคคลเหล่านี้จะเสาะแสวงหาความมั่นคงความปลอดภัยในองค์การ ซึ่งตำแหน่งที่หวังของกลุ่มนี้มักจะมีแตกต่างกันออกไปเป็นแบบต่าง ๆ กัน

4.  กลุ่มที่มีความคิดริเริ่ม (Creativity)

สำหรับผู้บริหารกลุ่มนี้จะเห็นได้ชัดว่า  ได้มีการพัฒนาแรงจูงใจขึ้นมาอย่างมากและค่อนข้างเป็นแรงจูงใจที่มีแรงผลักดันสูง  ที่จะมุ่งพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ออกมาให้ได้และมีความตั้งใจที่จะออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว  เป็นเจ้าของกิจการของตนเองและหาทางที่จะค้นคว้าสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ ให้ปรากฎ

5.  กลุ่มซึ่งต้องการเป็นอิสระ (Autonomy/Independence)

บุคคลเหล่านี้จะไม่ค่อยมีการปรับตัวได้ดีนักในการทำงานในองค์การ  หรือเบื่อปัญหาวุ่นวาย เส้นสาย ตลอดจนเกมการเมืองในองค์การ และมักจะมุ่งหวังที่หลักการและมักจะลาออกมาประกอบอาชีพอิสระ เป็นที่ปรึกษาทั่วไป (Consultants) ของบริษัทต่าง ๆ Schien ได้ค้นพบข้อแตกต่างในพื้นฐานของกลุ่มพนักงานเหล่านี้ด้วย ซึ่งผลการวิจัยของเขาได้ช่วยเช็คสอบตรงกับผลการวิจัยของคนอื่น ซึ่งทำให้ทราบว่า การพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานอาชีพนั้น จำเป็นต้องมีการจัดขึ้นเพื่อสำหรับการก้าวหน้าในหลาย ๆ ทางด้วยกันจึงจะเหมาะสม  มากกว่าที่จะจัดหรือกำหนดไว้แน่นอนเพียงทางเดียว ซึ่งในเรื่องนี้ James Walker ได้ชี้ให้เห็นเช่นกันว่า การจัดสายงานอาชีพไว้หลาย ๆ ทางนั้น ก็เป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อย  และนอกจากนี้สายงานอาชีพหรือทิศทางก้าวหน้าที่กำหนดขึ้นก็ควรจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของความเป็นไปได้ด้วย นั่นก็คือ การต้องมีพื้นฐานที่อิงอยู่กับแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่าที่มีอยู่ในองค์การนั้น ๆ ด้วย