กล่าวโดยสรุป วิวัฒนาการของระเบียบข้าราชการพลเรือนไทยได้เริ่มมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีลักษณะการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนพ่อข้าราชการเป็นเสมือนลูก หรือคนในครอบครัว ครั้นต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ระเบียบข้าราชการพลเรือนได้มีลักษณะเป็นระบบทหาร ถือว่าชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร ไม่มีการแยกทหารกับพลเรือนออกจากกัน ในยามปกติก็เป็นพลเรือน เมื่อเกิดศึกสงครามก็เปลี่ยนสภาพเป็นทหาร ต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นระบบอุปถัมภ์ คือใครเป็นข้าราชการก็นำญาติพี่น้องหรือพรรคพวกเข้ารับราชการ ตลอดจนการเลื่อนขั้นตำแหน่ง การรับราชการมีลักษณะเป็นอาชีพของชนชั้นสูงหรือผู้ดีมีสกุล และเกือบเป็นการสืบมรดกตกทองกันไปทีเดียว ในระยะเวลาดังกล่าวนี้ ข้าราชการมีลักษณะเป็นข้าราชบริพารมากกว่าที่จะเป็นพนักงานของรัฐ และระเบียบราชการพลเรือนก็ยังไม่ค่อยมีระเบียบกฎเกณฑ์อะไรมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ารับราชการยังไม่มีการสอบคัดเลือกเอาผู้ที่มีความสามารถแต่อย่างใด คงใช้วิธีนำญาติพี่น้องพรรคพวกเพื่อนฝูงเข้ารับราชการกันอยู่ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐที่มีต่อประชาชน ไม่มีขอบเขตกว้างขวางมากนัก ราชการก็ยังไม่ยุ่งยากซับซ้อน ข้าราชการก็มีจำนวนไม่มากนัก การรับคนเข้ารับราชการ การปูนบำเหน็จความดีความชอบ การแต่งตั้งถอดถอน จึงเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของพระมหากษัตริย์หรือผู้มีอำนาจ โดยยึดหลักธรรมหรือจารีตประเพณีเป็นหลักเท่านั้น มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระเบียบข้าราชการพลเรือนได้เริ่มวิวัฒนาการเข้าระบบใหม่หลายประการ แต่ก็ยังคงเป็นไปในรูประบบอุปถัมภ์อยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2471 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้น ระเบียบข้าราชการพลเรือนไทยจึงได้ยึดถือหลักการของระบบคุณธรรมมาจนกระทั่งปัจจุบันและได้พัฒนาไปในทางเสริมสร้างที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยการปรับปรุงและได้นำวิธีการบริหารงานบุคคลแผนใหม่มาใช้ปฏิบัติเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่การปฏิบัติงานขององค์การมากขึ้น