การแปลความหมายของภาษาร่างกาย

ภาษาร่างกาย คือ ภาษาที่แปลความได้จากอากัปกิริยาหลายประเภท อากัปกิริยาที่อยู่ในสาขาสำคัญ ๆ ที่จัดเป็นประเภทการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด

ได้แก่ ดวงตา ใบหน้า แขน ขา ตลอดจนการวางท่า (ท่านั่ง และท่าเดิน เป็นต้น) ท่านสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับคนอื่น และคนอื่นก็บอกเกี่ยวกับท่านได้ โดยอาศัยการสังเกตอากัปกิริยา อย่างไรก็ตาม อากัปกิริยาแต่ละท่าที่แยกโดด ๆ ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกับคำ ๑ คำในประโยค ย่อมเป็นการยากมากและเป็นอันตรายที่จะแปลความในตัวของมันเอง และด้วยตัวของมันเองเพียงคำเดียวโดด ๆ นอกเสียจากว่าเป็นคำ ในประโยคประเภทประโยคคำเดียว มิฉะนั้นแล้วการที่จะแปลความให้ได้ความหมายสมบูรณ์เต็มที่ ย่อมต้องอาศัยมากกว่า ๑ ประโยค ฉะนั้นท่านจะต้องพิจารณาท่าทางจากอากัปกิริยาอื่น ๆ ที่อยู่แวดล้อมตัวท่านด้วย คำโดด ๆ มีความหมายเฉพาะคำฉันใด อากัปกิริยาแต่ละท่าย่อมมีความหมายเฉพาะบางอย่างด้วยฉันนั้น เมื่อคำหลายคำถูกจัดไว้ด้วยกันให้เต็มรูป ประโยคก็ย่อมจะสื่อความหมายที่เต็มรูปแบบมากขึ้น เมื่อท่าทางแต่ละท่าถูกจัดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ก็ย่อมจะให้ความหมายที่สมบูรณ์และถูกต้องตามที่บุคคลนั้นมีความคิดและความรู้สึกอยู่ขณะนั่น ก่อนที่จะให้ความสนใจ ที่ทัศนคติและความหมายที่เป็นเป้าการแสดงออกด้วยท่าทางต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ เราคงจะต้องสนใจมองที่การแปลความที่รู้ๆ กันอยู่ของท่าทางที่โดด ๆ แต่ละด้านเสียก่อน

ดวงตา ดวงตาเป็นที่รู้ว่า เป็นหน้าต่างของดวงใจ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความรู้สึกของบุคคลได้ดีที่สุด การแสดงออกด้วยการกลอกลูกตา ทำตากลม และการถลึงตาเข้าใส่ ย่อมแสดงถึงการรับรู้ในส่วนนี้ของร่างกาย มีความเชื่อกันมานานแล้วว่า บุคคลที่ซื่อสัตย์มีแนวโน้มที่จะมองท่านตรง ๆ ที่ตาของท่านขณะที่พูดกับท่าน การค้นคว้าในเรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความเชื่อเช่นนี้ มีพื้นฐานความเข้าใจในเชิงวิทยาศาสตร์และได้มีการค้นพบ อีกว่า ผู้พูดที่ได้รับการประเมินว่าเป็นคน “จริงใจ” จะมองตรงที่ผู้ฟังของตนด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า ผู้พูดที่ถูกประเมินว่า “ไม่จริงใจ” ถึง ๓ เท่าตัว

คนมักจะหลบตาคนอื่น เมื่อถูกถามปัญหาที่ตนไม่พอใจ ท่านจะต้องสำนึกในจุดนี้ และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในหัวข้อที่ส่งผลให้มีการหลบสายตา จงพยายามลดความเครียด และสร้างความไว้วางใจกัน แทนการเพิ่มความเครียดให้แก่กัน

ท่าทางที่แสดงผ่านดวงตามักจะง่ายมากต่อการแปลความ การเลิกคิ้วข้างเดียวแสดงความไม่เชื่อ แต่การเลิกคิ้ว ๒ ข้างแสดงความสนเท่ห์ การขยิบตามีความหมายในทางกระเซ้าเย้าแหย่ หรืออาจเป็นเครื่องหมาย แสดงการตกลงใจด้วย โดยเฉพาะเมื่อติดตามด้วยอาการผงกศีรษะรับหรือการยิ้ม ท่านจะต้องมีความรู้สึกไวต่อภาษาร่างกายของพนักงาน ที่เงยหน้า มองท่านด้วยสายตาจ้องและกะพริบตาอย่างฉับพลัน ทั้งนี้มีโอกาสที่จะแปลความได้ว่า สิ่งที่ท่านกำลังพูดถึง กำลังได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง จากพนักงาน ที่จริงการตัดสินใจที่เข้าข้างฝ่ายตนอาจจะได้ดำเนินไปแล้ว ในปัญหาสำคัญนั้น ๆ และพนักงานอาจจะกำลังเพ่งพิจารณาในรายละเอียด ความอดทนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตัวท่านขณะนี้ ท่านควรต้องยับยั้ง ที่จะไม่อภิปรายในจุดที่เข้มข้นนี้ต่อไป จนกว่ากระบวนความคิดของฝ่ายพนักงานของท่านจะสิ้นสุดลง

ได้มีงานค้นคว้าที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับทิศทางของสายตา ได้ค้นพบว่า คนเราจะมองไปทางทิศขวามือหรือซ้ายมือนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดที่ครอบงำจิตใจอยู่ขณะนั้น คนเกือบทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็นประเภท มองเอียงขวา หรือมองเอียงซ้าย คนที่มองเอียงซ้ายมักจะพบเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ เอาใจตนเอง ชอบแนะนำ ส่วนคนที่มองเอียงขวามักจะเป็นคนที่อยู่ใต้อิทธิพลของเหตุผลและความถูกต้องชัดเจน

ใบหน้า ใบหน้าเป็นตัวกำหนดทัศนคติ อารมณ์และความรู้สึก ของคน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด การแสดงออกทางสีหน้านั้น บางครั้งก็เป็นการทรยศต่ออารมณ์และสภาพของจิตใจ เพราะด้วยการวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า จะปรากฏให้เห็นทัศนคติที่มีต่อกันและกัน และได้รับข้อมูลย้อนกลับ คำพังเพยที่เป็นที่รู้กันอยู่เช่น “คุณสามารถอ่านใบหน้าเธอได้เหมือนอ่านหนังสือที่เปิดอยู่” เป็นคำพังเพยที่ใช้บรรยายบุคคลที่มีการแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนมาก บางครั้งการแสดงออกทางสีหน้า เป็นสิ่งที่ทุกคนระวังมาก เพราะว่าบุคคลใดก็ตามย่อมไม่ต้องการเผยถึงสภาพของตนก่อนถึงเวลาอันควร ด้วยการแสดงออกถึงความคิดเห็นของตน ด้วยภาษาที่ไม่ใช่คำพูด คำ “หน้าตาย” จึงเป็นคำที่ใช้แสดงถึง ความพยายามที่จะปกป้องตัวท่านมิให้ผู้อื่นรู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของท่าน

มือ การกำมือแน่น หรือการบิดมือ มักจะบ่งชี้ว่าบุคคลนั้น ๆ กำลังรู้สึกตนถูกบีบคั้นโดยไม่สมควร บุคคลผู้นี้ย่อมจะยากต่อการติดต่อด้วย เพราะว่าเขากำลังเครียดหนัก และกำลังไม่เห็นด้วยกับท่านอย่างรุนแรง การประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันในลักษณะพนมมือเหมือนอยู่ในวัด ย่อมแสดงถึงความมักน้อย สมถะ และมีความเชื่อมั่นสูงมาก บุคคลในระดับอาวุโสและระดับบังคับบัญชา มักจะมองเห็นได้เมื่อท่านยืนและเอามือ ทั้งสองประสานไขว้กันไว้ด้านหลังของท่าน

ทัศนคติและอารมณ์มักจะสื่อได้จากการที่บุคคลใช้มือทั้งสองวางไว้ รอบ ๆ หน้าหรือศีรษะ ตัวอย่างเช่น การลูบถูเบา ๆ ที่ด้านหลังใบหู หรือข้าง ๆ หูด้วยนิ้วชี้ ย่อมแสดงถึงความสงสัย การถูตาอย่างสบาย ๆด้วยนิ้วมือหนึ่ง หมายความว่าบุคคลนั้นไม่รู้เรื่องที่ท่านกำลังพูด และแน่นอน การถูตาเช่นนี้ อาจจะหมายความว่า บุคคลนั้นกำลังคุ้นตา หรือ ตา “ง่วงนอน” การลูบถูด้านหลังของศีรษะ หรือการยกต้นคอไว้ในอุ้งมือ มักแสดงถึงความโกรธกับบุคคลอื่น หรือกับสถานการณ์นั้น ๆ การนอนพิงไปข้างหลังโดยมีมือ ๒ ข้างหนุนศีรษะ แสดงถึงความรู้สึก เชื่อมั่น หรือมีอำนาจเหนือกว่า เอามือหนึ่งข้างหรือ ๒ ข้างวางป้องปากไว้ โดยเฉพาะเวลาพูด แสดงว่าบุคคลนั้นกำลังพยายามซ่อนบางสิ่งบางอย่างความเบื่อหน่ายสามารถสื่อให้ทราบด้วยการวางศีรษะลงในอุ้งมือ และยกคางขึ้นลงในลักษณะผงกขึ้นลงและปล่อยให้ขนตาหลุบลงต่ำ การวางมือ ไว้บนแก้ม หรือเท้าคางไว้ มักแสดงว่ากำลังใช้ความคิด ใช้ความสนใจ หรือกำลังพิจารณาอะไรอยู่ อนึ่งการบีบจมูกพร้อมด้วยการปิดเปลือกตา หรือวางนิ้วซี้ไว้ใกล้กับจมูกโดยวางคางไว้ในอุ้งมือ และนิ้วอื่น ๆ ปล่อยพาดคาง หรือวางตํ่ากว่าปาก มักเป็นเครื่องหมายแสดงว่า กำลังมีการประเมินผลอย่างใช้ความคิด

การใช้แขนและขา การไขว้แขน เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการปกป้องตน แขนที่ไขว้กันแสดงออกเสมือนเป็นยามรักษาการณ์ ทำหน้าที่ป้องกันตนจากการถูกโจมตีที่คาดคะเนไว้ หรือจากการยืนหยัดอยู่ที่เดิม ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีที่ท่าว่าจะถอย ในทางตรงข้าม การเปิดแขนอ้ารับท่าน โดยทั่วไปเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเปิดเผยและยอมรับ

การไขว้ขา เป็นสัญลักษณ์แสดงการไม่ตกลงด้วย คนที่ไขว้ขา อย่างชิดแน่นมีท่าทีอยากจะบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านกำลังพูด หรือกระทำ ถ้าผู้ใดไขว้ขาอย่างเหนียวแน่น และไขว้แขนอย่างเหนียวแน่น ย่อมแสดงว่ามีทัศนคติซ่อนอยู่ในทางที่ปฏิเสธขั้นรุนแรง ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างตัว ตราบใดที่บุคคลอยู่ในท่านี้ ก็คงจะเป็นการยากมากสำหรับท่านที่จะได้รับการเห็นชอบด้วยอย่างเต็มที่ กับสิ่งที่ท่านกำลังพูดหรือกำลังกระทำ

การวางท่า-การนั่งและการเดิน การนั่งโดยวางขาพาดอยู่บนเก้าอี้ มักจะเป็นสัญลักษณ์สื่อให้ทราบทัศนคติในทางไม่ให้ความร่วมมือ การนั่งโดยหันด้านหลังเก้าอี้ออกมาข้างหน้า และนั่งคร่อมที่นั่งด้วยแขน ๒ ข้างวางบนพนักหลังเก้าอี้ มักจะแสดงทัศนคติของความอาวุโสและเหนือกว่า การนั่งด้วยขา ๒ ข้างไขว้กัน และปลายเท้าด้านบนแกว่งหมุนไปมาช้า ๆ แสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือความไม่อดทน ความสนใจและความวุ่นวายมักจะสื่อให้ทราบจาก การนั่งอยู่ที่ขอบเก้าอี้ และค่อย ๆ ยื่นลำตัวออกมาทางด้านหน้า

โดยทั่วไปบุคคลที่เดินเร็ว และแกว่งแขนอย่างอิสระ มักจะเป็นคนที่รู้ว่าตนต้องการอะไร และจะดำเนินอย่างไรต่อไป บุคคลที่เดินด้วยไหล่ห่อและมือซุกไว้ในกระเป๋า มักเป็นคนลึกลับและชอบวิจารณ์ เป็นลักษณะของคนที่ไม่ค่อยจะชอบอะไรรอบตัวมากนัก คนที่ท้อแท้ใจมักจะเดินลากเท้า ด้วยมือ ๒ ข้างซุกไว้ในกระเป๋า คอตก และไหล่ห่อ บุคคลที่มีกิจธุระยุ่ง หรือคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา มักจะมีวิธีเดินโดยมีศีรษะนำไปข้างหน้า เอามือไพล่หลัง และก้าวช้า ๆ