การใช้ภาษาร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

สมมุติว่าท่านเพิ่งเรียกพนักงานคนหนึ่งของท่านเข้ามาในห้องทำงาน ของท่าน เขาไม่รู้ว่าท่านตั้งใจจะพูดกับเขาถึงปัญหาวินัยที่ผ่านมาซึ่งท่านเพิ่งค้นพบ ท่านตัดสินใจที่จะเข้าให้ถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาที่นี่และเดี๋ยวนี้ พนักงานเข้ามาในห้องทำงานของท่าน และท่านกล่าวต้อนรับให้เขานั่ง ขณะที่ท่านเริ่มสนทนาด้วยภาษาที่ใช้ทักทายกัน พนักงานของท่านมองตรงมาที่ท่าน เอียงศีรษะนิดหน่อย ขาและแขนไม่ไขว้ ถอดกระดุมเสื้อนอก นั่งเอียงมาด้านหน้าของเก้าอี้ ปล่อยแขนตามสบาย เมื่อท่านเคลื่อนเข้าสู่หัวข้อที่ละเอียดอ่อนขึ้น ร่างของพนักงานเปลี่ยนอยู่ในท่าแข็งมากขึ้น ขาและแขนไขว้กันแน่น ริมฝีปากเม้ม กำมือแน่น คงประสานตากับท่านเพียงเล็กน้อย ขณะที่เขาเริ่มเล่าเรื่องในด้านที่เป็นของเขา เขายังไม่สามารถประสานสายตาด้วย และยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมมองตอบท่านด้วย ในช่วงที่การสนทนาใกล้จะจบลงเขาดูเหมือนจะเหลือบตาขึ้นมอง ลูบจมูกตนเอง ไปมาและใช้มือกำบังปากไว้ ขณะที่ท่านกำลังฟัง ท่านกำลังมองลอดแว่นตาของท่าน เป็นการเหลือบมองด้วยหางตาเป็นระยะ ๆ และสลับด้วยการเลิกคิ้ว เมื่อใกล้จะจบการสนทนา ท่านบอกพนักงานของท่านว่า ท่านตั้งใจที่จะเปิดใจกว้างเกี่ยวกับสถานการณ์ และจะมองลึกเข้าไปในปัญหาอีกครั้งในลักษณะที่ตรงไปตรงมามากขึ้น

ในขณะที่พนักงานของท่านออกจากห้องทำงานของท่าน ท่านนั่งพิงพนักเก้าอี้ เอานิ้วมือไขว้หนุนหลังคอไว้ ยกเท้าทั้ง ๒ ข้างขึ้นวางพาดบนโต๊ะ ท่านอดขำไม่ได้ว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นอกเหนือจากคำพูดแท้ๆ ที่กล่าวออกมา แต่ท่านไม่สามารถจัดการกับมันได้ ท่านไม่ได้เชื่อคำพูดที่เขากล่าวแม้แต่คำเดียว เพราะด้วยเหตุที่เขาแสดงออก แต่ท่านไม่ต้องการทำให้เขารู้ว่าท่านกำลังสงสัย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้บอกเขาว่า ท่านจะเปิดใจกว้างและตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ ท่านตระหนักว่าทั้งตัวท่านเองและพนักงานของท่าน ไม่ค่อยจะได้สื่อสารต่อกัน อย่างเปิดเผยด้วยภาษาคำพูด แต่เปิดเผยให้เห็นในภาษาร่างกาย การเคลื่อนไหวทางร่างกาย การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง เป็นส่วนที่เผยให้เห็นทัศนคติและสภาวะทางอารมณ์ของท่านได้มากกว่าภาษาคำพูด ถ้าตัวท่านผู้บริหารเพียงแต่รู้วิธีอ่านความหมายของภาษาร่างกาย การสัมภาษณ์ของท่านกับพนักงานที่ผ่านมา อาจจะเปลี่ยนทิศทางเป็นอย่างอื่นได้ และปัญหาอาจจะแก้ไขให้ถูกต้องได้เดียวนั้น และที่นั่นแล้ว

ภาษาร่างกายไม่ใช่เรื่องใหม่แน่นอน มนุษย์เรารู้จักเรื่องนี้และได้ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่เริ่มมนุษย์โลก ก่อนที่มนุษย์จะคิดค้นสร้างภาษาขึ้นมา ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารนั้น มนุษย์ใช้ภาษาร่างกายติดต่อให้ผู้อื่นทราบถึงความต้องการและความปรารถนาของแต่ละคน ภาษาร่างกายในยุคหินนั้น บรรยายการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน โดยไม่ได้ใช้ภาษาเขียนและภาษาพูด การบรรยายอย่างกว้าง ๆ นี้ ประกอบด้วยทุกส่วน ตั้งแต่เรื่องการขยับคิ้วที่ยุ่งยากซับซ้อนที่สุด จนถึงการมีท่าเคลื่อนไหวที่แน่นอนของภาษาในรูปสัญลักษณ์ ที่ใช้โดยคนหูหนวกตาบอด

ยังมีอากัปกิริยาต่าง ๆ ที่ไม่สื่อด้วยคำพูด ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นที่ยอมรับกันทั่วจักรวาล เป็นต้นว่า ตำแหน่งนั่งหัวโต๊ะ มักจะจัดเตรียมไว้สำหรับผู้นำกลุ่ม ในอดีต ตำแหน่งที่มีเกียรตินี้ อาจจะยกให้กับผู้ที่เป็น เจ้าบ้านหรือผู้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพจ่ายเงินสำหรับโต๊ะนั่น ๆ เป็นประเพณี นิยมมานานย้อนกลับไปถึงสมัยของกษัตริย์อาร์เทอร์ เมื่อสร้างโต๊ะกลมขึ้นด้วยความพยายามที่จะบริหารแบบประชาธิปไตยด้วยการขจัดผู้นำเพียง ๑ คนออก อากัปกิริยาที่เป็นสากลอีกอย่างหนึ่งคือ การยกมือขึ้นเหนือหัว ซึ่งมีความหมายถึงการยอมแพ้และยอมจำนน

ท่าทางบางอย่างมีความหมายแสดงออกได้ดีกว่าคำพูด ลองเนรมิตภาพของบุคคลที่ตบหน้าผากของตน ซึ่งอาจตามด้วยเสียงครวญ ท่านจะไม่รู้ในทันทีนั้นเทียวหรือว่า บุคคลผู้นี้เพิ่งจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ เขาควรจะได้ทำแต่ลืมไป ในเชิงของท่าทางที่แสดงออกนี้ คือการขอโทษผู้ฟังสำหรับการมองข้ามของตน

ท่าทางอื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ การโค้งคำนับ เปิดหมวก จับมือ ยักไหล่ โบกมืออำลา ทำรูป 0 ด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ และการส่งจูบ การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด ในรูปแบบของภาษาร่างกายนั้น ทำเร็วมาก มีผลการวิจัยยืนยันว่า แม้ว่าการแสดงต่อสถานการณ์ลดลงถึง ๑/๒๔ ส่วนของ ๑ วินาที (เวลาที่ใช้แสดงภาพเดี่ยว ๑ ภาพ ในภาพยนตร์) คนก็ยังจับความหมายได้ ถ้าแสดงออก ๓/๒๔ เท่าของ ๑ วินาที ความ เข้าใจก็จะเร็วขึ้นอย่างกระทันหัน และมีความเข้าใจเพิ่มสูงขึ้นถึงมากกว่า ๑ วินาทีของภาพที่ปรากฏ

สมรรถภาพที่จะเข้าใจภาษาร่างกายได้นั่น ไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับระดับสติปัญญา (IQ) หรือระดับความสามารถในการทดสอบ หรือคะแนนผลการเรียนจากโรงเรียนแต่อย่างใด การฝึกปฏิบัติคือทางที่จะช่วยปรับปรุง วิธีการเข้าใจภาษาร่างกายของบุคคลให้ดีขึ้น คนที่ทดสอบเพื่อความเข้าใจในภาษาร่างกาย มักได้รับคะแนนสูงขึ้นในการทดสอบครั้งที่สอง และครั้งต่อ ๆ ไป มากกว่าการทดสอบครั้งแรก

นักวิจัยในสาขาของการสื่อสารภาษาร่างกายยืนยันว่า ความหมายที่ได้รับจากการสื่อสารระหว่างบุคคล ๒ คน ในลักษณะเผชิญหน้ากัน และกันนั้น มีอัตราสูงถึง ๙๐% ที่ได้รับโดยภาษาที่ไม่ใช่คำพูด นี่แสดงว่า ความหมายที่ได้รับจากการสืบทอดสู่กันนั้น ได้จากภาษาที่ใช้คำพูดเพียง ๑๐% เท่านั้น ถ้าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ใกล้ความจริง (และมีผลการวิจัยยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง) ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนในความสำคัญของการสื่อสารด้วยภาษาร่างกาย

ด้วยความแน่นของหลักสูตรการเรียนการสอนและการสัมมนาที่เสนอในเรื่องการพูด และน้อยมากที่ให้การศึกษาในเรื่องของการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดและการใช้ภาษาร่างกาย แสดงว่าประชาชนทั่วไปที่ไม่เคยได้รับทราบในเรื่องผลการวิจัยดังกล่าว ควรจะได้รับการแนะนำให้เกิดความเข้าใจในความสำคัญของเรื่องนี้

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้มีความเชื่อตั้งแต่นานมาแล้ว ถึงความสำคัญของภาษาร่างกาย เขาเป็นบุคคลที่ไม่ยอมเชื่อในคำพูดที่กล่าวด้วยวาจา และผลงานของเขาจำนวนมากได้จากข้อสรุปที่ว่า คำพูดมักจะซ่อนอะไรไว้มากกว่าที่กล่าวเผยออกมา ฟรอยด์มีความเชื่อเช่นเดียว กับนักวิจัยจำนวนมากว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เป็นจริงจาก คำพูดแต่พฤติกรรมที่ไม่ได้พูด มักจะแสดงความจริง

ด้วยภาษามือ คนสามารถแสดงอารมณ์ที่เป็นจริง และที่อยู่ใต้จิตสำนึก ตลอดจนความปรารถนาและทัศนคติได้ ภาษาร่างกายซึ่งได้รับแรงยั่วยุจากความต้องการที่อยู่ใต้จิตสำนึก ให้แสดงความรู้สึกภายในใจ ย่อมไว้วางใจได้มากกว่าการสื่อสารด้วยคำพูด และซึ่งอาจจะขัดกับถ้อยคำ ที่แสดงออกภาษาร่างกายเป็นทางออกซึ่งความรู้สึกของท่าน และสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องจับเท็จที่ช่วยให้ผู้ฟังที่ช่างสังเกตแปลงความหมายของคำพูดได้ ภาษาร่างกายของท่านย่อมสื่อความจริงใจ และความผูกพันให้กับบุคคลที่เป็นนักสังเกต

ในสายการบริหารงาน การสื่อความคิดถือเป็นความสำคัญอันดับแรก ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาเรื่องภาษาร่างกาย จึงมีมากมายสำหรับ ท่านในฐานะผู้บริหาร ด้วยการเพิ่มการรับรู้ในพฤติกรรมที่ใช้มือ ท่านย่อมสามารถอ่านออกถึงอารมณ์ และทัศนคติของพนักงานของท่าน ผลก็คือ ท่านจะเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง และการรับรู้ที่เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ทั้งมวล ของพนักงานของท่าน ความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยการเข้าใจพนักงานของท่าน ย่อมจะส่งผลให้เกิดความเชื่อใจกัน และได้ผลผลิตสูงขึ้น

นอกจากท่านจะเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในตัวพนักงานของท่านแล้ว การได้ศึกษาภาษาร่างกาย ยังสามารถช่วยให้พนักงานของท่านมีความเข้าใจตัวท่านเพิ่มเติมขึ้นด้วย ภาษาร่างกายมีส่วนสำคัญมากที่สามารถช่วย พนักงานของท่านให้เกิดภาพความเข้าใจในข้อความของท่านเหมือนกับที่ท่านต้องการ จะสื่อให้เป็นที่รับทราบและเข้าใจ ความสามารถในการสื่อ ข้อความของท่านให้เป็นที่เข้าใจตามที่ตั้งใจยิ่งมีมากเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ประสิทธิภาพของท่านในฐานะผู้บริหารมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นต้องรับรู้ อย่างเฉียบพลันในการแสดงออกทางร่างกายทั้งของตนเองและของพนักงาน ของตน ท่านย่อมสามารถเพิ่มความเครียดได้เท่า ๆ กับลดความเชื่อถือลงได้ด้วยเหตุง่าย ๆ จากการสร้างภาษาร่างกายทางลบ หรืออาจจะโดยการขาดความไวในการสังเกตการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดจากพนักงานของท่าน “ผลกระทบในทางเลว” เป็นเรื่องที่สามารถทำลายสัมพันธภาพทั้งที่เป็นปัจจุบันและอนาคตกับพนักงานของท่าน